พระเยซูเจ้า...ช่วยวิงวอนเทอญ

พระเยซูเจ้า...ช่วยวิงวอนเทอญ
เพราะพระองค์ทรงรักเรา จึงรับเอาทุกข์ทนบนไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปเราทุกคน ...ขอบคุณมากนะค่ะพระเยซูเจ้าที่อยู่เคียงข้างกิ๊ฟมาตลอด โปรดนำทางกิ๊ฟด้วยนะค่ะสำหรับทุกๆอย่างที่กำลังเข้ามาในชีวิต แม้ในบ้างครั้งกิ๊ฟอาจท้อ อ่อนแอ และร้องไห้ แต่พระองค์จะมีหนทางให้กิ๊ฟเสมอ ขอบคุณค่ะที่ไม่เคยทอดทิ้งลูกไปไหน อาแมน

ลูกรักแม่พระ

ลูกรักแม่พระ
วันทามารีอาเปี่ยมด้วยหรรษทาน พระเจ้าสถิตกับท่าน ผู้มีบุญกว่าหญิงใดใด และพระเยซูโอรสของท่านทรงบุญนักหนา สันตะมารีอามารดาพระเจ้า โปรดภาวนาเพื่อเราคนบาป บัดนี้และเมื่อจะตาย อาแมน ....ขอบคุณมากนะค่ะแม่พระที่อยู่เคียงข้างลูกมาตลอด...ขอบคุณค่ะ...รักแม่พระที่สุด

POPE เบเนดิกต์ ที่ 16 ประมุขของพระศาสนจักรโรมันคาทอลิก

POPE เบเนดิกต์ ที่ 16  ประมุขของพระศาสนจักรโรมันคาทอลิก
พระคาร์ดินัล โยเซฟ รัตซิงเกอร์ ได้รับเลือกเป็นพระสันตะปาปาองค์ที่ 265 โดยทรงใช้พระนาม "เบเนดิกต์ ที่ 16" ประสูติเมื่อวันที่ 16 เมษายน 1927 ที่เมืองมาร์ก อัม อินน์ แคว้นบาวาเรีย ประเทศเยอรมนี มีพระนามเดิมว่า โยเซฟ อาโลอีส ราตซิงเงอร์ ปัจจุบันทรงมีพระชนมายุ 78 พรรษา พระองค์ทรงเป็นชาวเยอรมัน ว่ากันว่าสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 เป็นบุคคลที่ทรงเสน่ห์ และมีพระปรีชาสามารถในการใช้วาทศิลป์เป็นอย่างมาก ตรัสได้ถึง 4 ภาษา ทั้งนี้ นักบุญเยซูอิต โทมัส รีซี เคยขนานนามพระองค์ว่าทรงเป็น “คู่สนทนาที่มีวาจาไพเราะยิ่ง” เบื้องหลังอุปนิสัยที่สุภาพอ่อนโยน และท่าทางขี้อายของพระสันตปาปาองค์ใหม่วัย 78 พรรษาพระองค์นี้ คือ สติปัญญาแกร่งปานเหล็กกล้าซึ่งพร้อมจะวิเคราะห์แยกแยะผลงานทางเทววิทยา เพื่อตรวจหาความบริสุทธิ์ถูกต้องตามหลักคำสอน อีกทั้งพร้อมจะถกเถียงคัดค้านพวกซึ่งเดินออกนอกแถวอย่างดุเดือดเผ็ดร้อน พระองค์ได้รับอนุญาตให้บวชเป็นพระในปี 1951 และการงานส่วนใหญ่ในตอนต้นๆ ก็คือ การเป็นศาสตราจารย์สอนวิชาเทววิทยาในมหาวิทยาลัย

นักบุญอัญเจลา...นักบุญประจำตัว

นักบุญอัญเจลา...นักบุญประจำตัว
นักบุญอัญเจลา เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1475 ณ เมืองเดเซนซาโน เธอได้บรรเทาความทุกข์ยาวให้กับคนจน ผู้ขาดแคลน ผู้กำพร้าชื่อเสียงของเธอในด้านความศักดิ์สิทธิ์ ได้กระจายไปทั่วเมืองและได้ขนานนามว่า "ซิสเตอร์อัญจลา" ท่านได้ถึงแก่มรณภาพ วันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 1540 เวลา 12:30 ที่เมืองเบรเซีย เมื่ออายุได้ 65 ปี

วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2552

ความแตกต่างระหว่างรักกะชอบ

ความแตกต่างระหว่าง รักกะชอบ
ต่อหน้าคนที่คุณรักหัวใจคุณเต้นรัว ต่อหน้าคนที่คุณชอบคุณรู้สึกมีความสุข
ต่อหน้าคนที่คุณรักฤดูหนาวเป็นเหมือนฤดูใบไม้ผลิ ต่อหน้าคนที่คุณชอบฤดูหนาวเป็นฤดูหนาวที่งดงาม
ถ้าคุนจ้องหน้าคนที่คุณรักคุณจะหน้าแดง ถ้าคุณจ้องตาคนที่คุณชอบคุณจะยิ้มออกมา
ต่อหน้าคนที่คุณรักคุณไม่สามารถพูดทุกสิ่งในใจคุณได้ ต่อหน้าคนที่คุณชอบคุณทำได้
ต่อหน้าคนที่คุณรักคุณจะเขินอาย ต่อหน้าคนที่คุณชอบคุณเปิดเผยความเป็นคุณได้
คนที่คุณรักมักเข้ามาอยุ่ในใจคุณทุก2นาที
คุณไม่สามารถสบตาคนที่คุณรักตรงๆได้ แต่คุณยิ้มและสบตาคนที่คุณชอบตรงๆได้
เมื่อคนที่คุณรักร้องไห้คุณจะร้องไห้ไปกับเขา แต่เมื่อคนที่คุนชอบร้องไห้คุณจะปลอบเขา
ความรู้สึกรักเริ่มต้นจากดวงตา ความรู้สึกชอบเริ่มต้นที่หู ฉะนั้นถ้าคุณจะเลิกชอบคนที่คุณชอบก็แค่ปิดหูของคุณเท่านั้นก็พอ แต่ถ้าคุนพยายามจะปิดตา รักจะกลายเป็นนํ้าตา และเมื่อคุณเปิดตาขึ้นอีกครั้ง .... คุณก็จะได้รู้ว่า สิ่งที่คุณเสียไปคือคนที่คุณรักมากที่สุด

เหนื่อยกับชีวิต


.....ฉันเชื่อว่า มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เราทุกคนต่างก็เหมือนๆกัน...นั่นคือ ไม่มีใครจะมีความสุขได้ตลอดเวลา หรือ มีความทุกข์ได้ตลอดเวลา...ทุกครั้งที่ความสุขหมดลง... ความทุกข์ก็เข้ามาแทนที่ ….เป็นอยู่อย่างนี้ วนเวียน ไม่รู้จบ ….บางครั้ง เมื่อเราทุกข์ท้อใจมากๆ กับปัญหาในชีวิต...คำถามที่ว่า เราเกิดมาทำไม ? มีชีวิตเพื่ออะไร ?... ก็พรั่งพรูเข้ามาเกินกว่าจะตอบได้ทัน...จำข้อความหนึ่งที่ตัวเองเคยอ่านพบในหนังสือธรรมะเล่มหนึ่งได้ว่า..."บางทีมนุษย์ก็หลงลืมไปว่า หน้าที่หลักที่แท้ จริงของเรานั้นคืออะไร" ...การที่เราทำงานหาเลี้ยงชีพ มุ่งมั่นสร้างความสำเร็จ ความร่ำรวยความมีชื่อเสียงให้กับตัวเองนั้น ล้วนแล้วแต่เป็น ‘ งานรอง ’ ทั้งสิ้น แต่เรากลับใช้เวลาส่วนใหญ่ง่วนอยู่กับ ‘ งานรอง’...จนเข้าใจผิดคิดว่ามันคือ ‘ งานหลัก ’ ของชีวิต ... ซึ่ง ‘ งานหลัก’ ที่แท้จริงคือ การตามดูใจของตนเอง ... ผลที่ตามมาจึงกลายเป็นว่า... เรากำลังหลงทาง...และปล่อยให้ชีวิตตัวเองต้องไล่ล่าสิ่งที่อยู่ภายนอกโดยไม่สิ้นสุด!เพราะเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้คือ... ตัวช่วยเติมเต็มให้ชีวิตเรานั้นสมบูรณ์ได้ความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากสิ่งที่ว่านี้ จึงมีอยู่ 2 อย่างคือ … ผิดหวังที่ไม่ได้มา กับ … บังคับตัวเองไม่ได้ที่จะพอ อยู่เรื่อยไปและเมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ … อยากให้คุณได้ลองถามตัวเองดูว่าที่คุณกำลัง ‘ เหนื่อย’ อยู่นี้น่ะ มันมาจาก ‘ งานรอง’ ในชีวิตทั้งนั้นใช่หรือไม่ …และถ้าหากมันใช่แล้ว ขอให้ถามตัวเองอีกคำถามว่าแล้ว ‘ งานหลัก ’ ของคุณล่ะ ได้เคยทำมันบ้างแล้วรึยัง … ?

วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2552

...รัก...



"รัก..."
การที่เราจะรักใครสักคน...ไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลว่าทำไมเราจึงไปรักเขาได้แต่ให้รู้ไว้ว่าทุกวันนี้เรารักเขาและต้องรักให้ดีที่สุดก็พอการที่เราจะรักใครสักคน...ไม่ต้องสนว่าหนทางข้างหน้าจะมีอุปสรรคมากมายแค่ไหนแต่ควรนึกขอบคุณโชคชะตาที่สร้างให้มีอุปสรรคเพื่อให้เราทั้งสองได้ร่วมฟันฝ่าไปด้วยกันการที่เราจะรักใครสักคน...ไม่ต้องไปเสียเวลาคิดว่าเขาทำอะไรเพื่อเราบ้างแต่ให้มานั่งถามตัวเองดูว่า วันนี้เราทำอะไรเพื่อคนที่เรารักแล้วหรือยังการที่เราจะรักใครสักคน...ไม่ต้องไปมัวระแวงว่าเขาจะไปมีใครอื่นนอกเหนือจากเราแต่ควรระวังใจของตัวเองให้เข้มแข็งพอที่จะไม่รับใครเข้ามาในใจอีกการที่เราจะรักใครสักคน...ไม่ต้องไปขุดคุ้ยเรื่องราวในอดีตของเขา ว่าเขาเคยมีใครยังไงแต่ให้คิดไว้ว่าทุกวันนี้มีเขาและเราอยู่ด้วยกัน...อดีต..ถึงอย่างไรก็คืออดีตการที่เราจะรักใครสักคน...เมื่อทะเลาะกัน คำว่าแพ้หรือชนะ ก็ไม่สำคัญเราจึงยอมให้เขาเป็นฝ่ายชนะเสมอ ถ้าทำให้เขาสบายใจการที่เราจะรักใครสักคน...ไม่ควรพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเขาแต่ควรพยายามปรับตัวเองให้เข้ากับเขาจะดีกว่าการที่เราจะรักใครสักคน...ไม่ควรหูเบาเพราะอาจทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเรากับคนที่เรารักได้การที่เราจะรักใครสักคน...ไม่ใช่การสัมผัสกันด้วยร่างกายแต่เป็นการสัมผัสกันด้วยหัวใจต่างหากการที่เราจะรักใครสักคน...ไม่จำเป็นต้องบอกรักกันทุกวันเพราะการที่เราคอยห่วงใยกันอยู่เสมอๆ ก็สามารถทดแทนคำว่ารักได้ดีแม้สักล้านคำการที่เราจะรักใครสักคน...ไม่เกี่ยวกับสิ่งของนอกกายใดๆ เลยเพราะความรักไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน หรือแลกมาได้ด้วยทรัพย์สินการที่เราจะรักใครสักคน...ไม่ต้องคอยนับว่าเขามีข้อเสียมากมายสักกี่ข้อเพราะข้อดีของเขาก็มีมากพอที่จะทำให้เราลืมข้อเสียทั้งหมดของเขาได้การที่เราจะรักใครสักคน....ไม่จำเป็นต้องตัวติดกันตลอดเวลาแค่เรามีเขาอยู่ในใจทุกนาทีก็พอการที่เราจะรักใครสักคน...เมื่อเห็นเขาเสียใจไม่ต้องรอจนกระทั่งเขาเสียน้ำตา แล้วค่อยเข้าไปปลอบใจแต่ควรรีบเข้าไปแบ่งเบาความทุกข์ของเขาเสียตั้งแต่เมื่อเราเห็นเขาเงียบๆ ซึมๆ ไปเพราะหากเราปล่อยเขาไว้จนสายเกินผลสุดท้ายแล้วคนที่จะเสียใจที่สุดเมื่อรู้ตัวก็คือตัวเราเองการที่เราจะรักใครสักคน...อย่ารอที่จะบอกรัก ให้รีบบอกคนที่เรารักซะก่อนที่จะไม่มีเขาคนนั้นให้บอกอีกต่อไปการที่เราจะรักใครสักคน...แม้ว่าอาจทำให้เราตาบอดแต่ก็ทำให้เราได้รับรู้และเข้าใจ ว่าความสุขจากการที่ได้รักใครสักคนมันมีมากมายแค่ไหนการที่เราจะรักใครสักคน...จงเชื่อมั่นในตัวเขาให้มากๆการที่เราจะรักใครสักคน...ง่ายยิ่งกว่าการพยายามลบเขาออกไปจากหัวใจ...ความรัก สอนให้เราได้เรียนรู้หลายๆสิ่งความรักเป็นบทเรียนดีๆ ที่ไม่อาจเข้าใจได้ถ่องแท้ถ้าไม่ได้สัมผัสด้วยตัวเองความรัก ทำให้เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ทำให้เราเข้าใจอะไรๆ มากขึ้นความรัก ทำให้เราเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบนี่คือสิ่งที่เราได้เรียนรู้ ....จากการที่เราได้....รัก....ใครสักคน...

บ้าน...ของหัวใจ


หัวใจที่เข้มแข็งเท่านั้นที่จะพาชีวิตผ่านมรสุมไปได้
ในยามที่ชีวิตเกิดปัญหาไม่ว่าจะหนักหนาแค่ไหน
ขอเพียงเรารู้วิธีการที่จะรับมือ...
ทุกอย่างไม่ใช่เรื่องยาก
การที่เราพบเจอกับปัญหาในแต่ละวัน
ไม่ว่าจะเล็กน้อยหรือใหญ่โตแค่ไหน
เราก็ต้องค่อยๆ หาวิธีแก้ไขอย่างใช้สติ
และทำให้ทุกปัญหาที่ผ่านเข้ามาเป็นภูมิคุ้มกันชีวิต
รู้จักเรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาด
รู้จักนำสิ่งที่ผิดพลาดมานำทางชีวิต
และทำชีวิตให้แข็งแรงมากขึ้น...
ค่อยๆ สั่งสมประสบการณ์
หนึ่งประสบการณ์ที่เราเคยผ่านจะกลายเป็น
อิฐหนึ่งก้อนที่ก่อร่างสร้างฐานให้หัวใจเข้มแข็งขึ้น
หลายประสบการณ์จะกลายเป็นบ้านหนึ่งหลัง
โลกเราหมุนไปทุกวัน...
ไม่มีใครบอกได้ว่าพรุ่งนี้ชีวิตต้องเจอกับอะไร
ลมฝนหรือพายุรุนแรงแค่ไหน...
แต่ถ้าวันนี้เราได้สร้างบ้านที่แข็งแรงเอาไว้ในหัวใจแล้ว
ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเจอแรงกระทบจากสิ่งรอบตัว
ต่อให้พายุแรงแค่ไหน...ชีวิตก็มีที่หลบภัย...